วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

แนวคิดของบลูม1956



กรอบแนวคิดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม ในปีค.ศ. 1956 เบญจมิน บลูม และคณะ (Benjamin Bloom and other 1956)i ได้พัฒนา กรอบทฤษฎีที่ใชเป็นเครื่องมือการจดประเภทพฤติกรรมที่เกี่ยวของกับการแสดงออกทางปัญญา และการคิดอนเป็นผลมาจากประสบการณ์การศึกษา เรียกว่า Bloom’s taxonomy ซ่ึงกาหนดไว ้3 ด้าน คือดานพุทธิพิสัย (cognitive domain) ดานจิตพิสัย (affective domain) และด้านทักษะทางกาย (psychomotor domain) ในการออกแบบหลกสูตรจดการเรียนรู้และการวัด ประเมินผลการเรียนรู้ก็ได้อาศัยกรอบทฤษฎีดังกล่าวน้ี ด้านพุทธิพิสัยถูกนำไปใช้มากที่สุด บลูมและคณะเสนอกรอบการ พัฒนาความคิดระดบต่ำ(lower order thinking skills) คือระดับ 1 – 3 ประกอบด้วย
 ระดบั 1 : ความรู้
 Level 1 : Knowledge (Recall and repeat information)
 ระดับ 2 : ความเขาใจ ้
 Level 2 : Comprehension (Interpret and demonstrate understanding)
 ระดบั 3 : นาไปใช้ ( การประยกตุ ใช์ ความรู้ในสถานการณ์ใหม่)
 Level 3 : Application (Apply acquired knowledge to a new problem)


 ส่วนการพัฒนาความคิดระดับ สูง (higher order thinking skills) คือ ระดับ 4 – 6 ประกอบดว้ย
 ระดับ 4 : การวิเคราะห์ ( ระบุความสมพั นธั ์และเหตุจูงใจ)
Level 4 : Analysis (Identify relationships and motives)
 ระดับ 4 : การสงเคราะห ์ (การเชื่อมโยงขอเท้จจริงโดยเหตุผลหรือรูปแบบใหม่)
 Level 5 : Synthesis (Assemble facts into a coherence or new pattern)
 ระดับ 5 : การประเมิน (ใช้เกณ์ ้ และสถานการณ์เพื่อวินิจฉยและการตัดสินผล
 Level 6 : Evaluation (Use criteria and evidence to make and defend judgments)


ต่อมาแอนเดอร์สัน และแครทโฮล (2001) ได้นําเสนอแนวคิดปรับปรุง Bloom’s Taxonomy ในการจำแนกพฤติกรรมย่อย มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทใหม่ ๆ รายละเอียด
ดังตาราง  1    ตาราง 1 เปรียบเทียบ Bloom’s Taxonomy 1956 และ2001

New Version (Bloom’s Taxonomy 2001)
Old Version (Bloom’s Taxonomy 1956) Creating
Creating
Evaluation
Evaluating
Synthesis
Analysing
Analysis
Applying
Application
Understanding
Comprehension
Remembering
Knowledge


สรุปการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงในระดับคำศัพท์ และระดับโครงสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดบคำศัพท์เป็นดังนี้ จุดประสงค์การศึกษาของหลกสูตรที่อิงมาตรฐาน(standards – based curriculum) จะระบุในลักษณะว่าผู้เรู้ียนควรรู้และทำอะไรได้ (เป็นกริยา) ในสิ่งใด(เป็นคานาม ) แต่ในปี1956 บลูม (Bloom)ใชคำนามในการอธิบายความรู้ประเภทต่าง ๆ ต่อมาในฉบบปรับปรุง ปี2001 พฤติกรรม ยอยจึงระบุเป็นกริยาและมีการปรับเปลี่ยนคำว่าความรู้ (knowledge) เป็นความจาํ(remember) ในฉบับปรับปรุงได้จัดความรู้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ขอเท็จจริง (factual) มโนทัศน์ (concept) กระบวนการ(procedural) และความรู้ที่เกิดจากตนเอง (metacognition) ขั้นพฤติกรรมหลักในกรอบเดิม 2 ขั้น คือความเข้าใจ ้ (comprehension) เปลี่ยนเป็น เข้าใจความหมาย  (understand) และการประเมิน (evaluation) เป็น สร้างสรรค (create)

เนื้อหาเพิ่มเติมคลิกที่นี่



รายการอ้างอิง

 Anderson, L.W., Krathwohl, D. R., Airasian, P. W., Cruikshank, K. A., Mayer, R. E., Pintrich, P. R., Raths, J., and Wittrock, M. C. (Eds.) (2001). A Taxonomy for Learning, Teaching, and Assessing. [Abridged Edition.] New York : Longman. Bloom, B.J. (Ed.), Engelhart, M.D., Furst, E.J., Hill, W.H. and Krathwohl, D.R. (1956). Taxonomy of Educational Objectives : Handbook I : Cognitive Domain. New York : David McKay. Foreland, M. (2012). Bloom’s Taxonomy. [Online]. Available : http://projects.coe.uga.ed/epltt/index.php?title =Bloom%27sTaxonomy(10.2.2012) Retrieved 13 August 2013. Krathwohl, D. R. (2002). “A Revision of Bloom’s Taxonomy : An Overview.” Theory into Practice. 41 No. 4. 212 – 218. [Online] Available : http://www.unco.edu/cetl/sir/stating_outcome/ documents/Krathwohl.pdf. Mayer, R.E. (2002). “Rote Versus Meaningful Learning.” Theory into Practice. 41 No. 4. 226 – 232. [Online] Available : http://www.unco.edu/cetl/sir/stating_outcome/documents/Krathwohl.pdf. Pintrich, P.l. (2002). “The Role of Metacognition Knowledge in Learning, Teaching and Assessing.” Theory into Practice. 41 No.4 219–225. [Online] Available : http://www.unco.edu/cet1//sir/stating_ outcome/documents/Krathwohl.pdf.

วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เครื่องมืิอการวัดและการประเมินผล

เครื่องมืิอการวัดและการประเมินผล 

การวัดและการประเมินผล

จุดมุ่งหมายในการวัด

ความมุ่งหมายของการประเมินผลว่ามี หลายประการซึ่งครูอาจเลือกใช้ให้ตรงกับความต้องการดังนี้
1. เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเรียน
2. เพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐาน
3. เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
4. เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่อง
5. เพื่อตัดสินผลการเรียน
6. เพื่อจัดตําแหน่งหรือจดประเภท
7. เพื่อเปรียบเทียบระดับพัฒนาการ
8. เพื่อพยากรณ์หรือทํานาย
9. เพื่อประเมินค่า

กล่าวโดยสรุป วัตถุประสงค์ของการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนที่สําคัญ คือเป็นการศึกษาผู้เรียนแต่ละคนว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถมากน้อยเพยงใด  และสมควรที่จะ พัฒนาสมรรถภาพในด้านใด ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนมากที่สุด

ชั้นประถมศึกษาตอนต้น ป. 1-3
เครื่องมือในการวัด
การสังเกต
การสังเกตเป็นเครื่องมือวัดผลชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมากเครื่องมือชนิดนี้ครูหรือตัวบุคคลทำหน้าที่ในการวัดโดยใช้ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือสื่อความหมายในการเรียนการสอนสิ่งที่ควรจะสังเกตผลงานและพฤติกรรมของผู้เรียนเช่นสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในขณะที่เรียนว่ามีความสนใจบทเรียนเพียงใดมีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ความร่วมมือในการทำงานคุ้มมากแค่ไหนเป็นต้น ผลงานของผู้เรียนที่จะสังเกตได้เช่นสมุดของผู้อื่นตลอดจนสิ่งต่างๆเช่นสมุดเป็นการวาดรูประบายสี การเชื่อมโยงรูปภาพ เป็นต้น

ชั้นประถมศึกษาตอนต้น  ป.4-6
เครื่องมือในการวัด 
แบบเลือกตอบ (Multiple  Choices)
1. แป้นป้อนข้อมูลเรียกว่าอะไร
o    A. ชีพียู
o    B. จอภาพ
o    C. คีบอร์ด
o    D. เมาร์
o    E. ดิสเกร็ด
2. แสดงผลออกมาเรียกว่าอะไร
o    A. คีบอร์ด
o    B. ชีพียู
o    C. ฮาร์ทแวร์
o    D.เมาร์
o    E. มอนิเตอร์
3. ตัวเก็บข้อมูลเรียกว่าอะไร
o    A. เมาร์
o    B. ชีพียู
o    C. คีบอร์ด
o    D จอภาพ
o    E. หลอดไฟ


 ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น  ม1.-3
เครื่องมือในการวัด 
แบบเลือกตอบ (Multiple  Choices)
ข้อที่ 1)
ฮาร์ดแวร์ใดไม่จัดเป็นองค์ประกอบหลักของระบบคอมพิวเตอร์
   โมเด็ม
   จอภาพ
   แป้นพิมพ์ 
   ชิปไมโครโปรเซสเซอร์


ข้อที่ 2)
อุปกรณ์ในข้อใดจัดเป็นอุปกรณ์หน่วยรับข้อมูล
   แป้นพิมพ์ ซีพียู 
   เมาส์ แฟลชไดรฟ์
   สแกนเนอร์ ไมโครโฟน 
   แผ่นซีดี จอภาพ


ข้อที่ 3)
เมาส์เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่มีหน้าที่อย่างไร
   
ควบคุมการชี้ตำแหน่งบนจอภาพ 
   
รับข้อมูลเสียงเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
   
ควบคุมการเคลื่อนที่ของเคอร์เซอร์บนจอภาพ 
   
ข้อ ก และ ค ถูก 


ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น  ม4-6
เครื่องมือในการวัด
1.การให้ปฏิบัติจริง (Situation Test) เครื่องมือการวัดผลประเภทนี้ เป็นการหาข้อมูลโดยการให้ปฏิบัติจริง เป็นการวัดความสามารถขั้นการนําความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานหลังจากได้มีการเรียนการสอนแล้ว
2.แบบเลือกตอบ (Multiple  Choices)

1.ซอฟต์แวร์ คือ
ก. โปรแกรมชุดของคำสั่งที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
ข. อุปกรณ์เทคโนโลยีระดับสูง
ค. โปรแกรมแก้ปัญหาทุกอย่างของมนุษย์
ง. อุปกรณ์ที่ทำหน้าเสมือนสมองกล

2.ข้อใดไม่ใช่ระบบปฎิบัติการ
ก.ระบบปฏิบัติการดอส
ข.ระบบปฎิบัติการไมโครซอฟท์เวิร์ด
ค.ระบบปฏิบัติการการไมโครซอฟต์วินโดวส์
ง.ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์
 3.ต้นกำเนิดของคอมพิวเตอร์มาจากแนวความคิดข้อใด
ก.บัตรเจาะรู
ข.การคำนวณตัวเลข
ค.การหมุนของฟันเฟือง
ง. การเดินของนาฬิกา






วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ บทที่ 1-4

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

บทที่ 1 หลักการและเทคนิคการวัดและประเมินการเรียนรู้


บที่ 2 การสร้างและการใช้เครื่องมือวัดและประเมินการเรียนรู้



บทที่ 3 การวัดและประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย



บทที่ 4 การประเมินตามสภาพจริง การประเมินจากแฟ้มสะสมผลงาน

 และการประเมินภาคปฎิบัติ



วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

คำอธิบายรายวิชา


หลักการวัดและประเมินผลความหมาย หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา บทบาทของการประเมินผลทางการศึกษาจุดมุ่งหมายทางการศึกษากับการประเมินผลการประเมินจากแฟ้มผลงานการประเมินจากแฟ้มสะสมงานการประเมินภาคปฏิบัติการประเมินผลแบบย่อยแบบรวมเทคนิคและวิธีการที่ใช้ในการวัดพฤติกรรม ด้านพุทธพิสัย จิตพิสัย ด้านพุทธพิสัยลักษณะของเครื่องจักรในการสร้างเครื่องมือวัดแบบต่างๆให้มีคุณภาพสถิติเบื้องต้นในการวัดประเมินผลทางการศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลที่สายตามหลักสูตรต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่นหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ. 2544 การประเมินตามสภาพจริง


จุดประสงค์การเรียนรู้



การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษามีจุดม่งหมาย เพื่อรวบรวมรายละเอียดต่างๆ เพื่อแสดง
ความก้าวหน้าตามเป้าหมายของหลักสูตรและเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา
จุดมุ่งหมายของการวัดผลแยกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ (ภัทรา นิคมานนท์ 2543 : 20)
 
       1. เพื่อการจัดตำแหน่ง (Placement) โดยใช้ผลการสอบบอกตำแหน่งของผู้เรียนว่ามีความรู้
ความสามารถอยู่ในระดับใดของกลุ่ม หรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์แล้วอยู่ในระดับใด การใช้แบบสอบเพื่อ
จัดตำแหน่งนี้ ใช้ในวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
           
                   1.1 ใช้สำหรับคัดเลือก (Selection) เป็นการใช้ผลการสอบในการตัดสินใจ ในการ
คัดเลือกเพื่อเข้าเรียนต่อ การเข้าทำงาน การให้ทุน ผลการสอบนี้ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงอันดับที่สำคัญ
                   1.2 ใช้สำหรับแยกประเภท (Classification) เป็นการใช้ผลการสอบในการจำแนก
บุคคลเป็นกลุ่ม เป็นพวก เช่น ใช้ในการตัดสินได้ตก แบ่งพวกเก่งอ่อนด้านใดด้านหนึ่ง พวกที่ผ่าน
เกณฑ์และยังไม่ผ่านเกณฑ์เหล่านี้ 
       2. เพื่อการเปรียบเทียบ ( Assessment ) เป็นการประเมินก่อนเริ่มต้นการเรียนการสอน (Pre-test) ของแต่ละบทเรียนหรือแต่ละหน่วย เพื่อพิจารณาดูว่าผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการ
เรียนเพียงใด ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าในระหว่างการเรียนรู้ ผู้เรียนควรมีความรู้เพิ่มอย่างไร และเป็นการ
พิจารณาดูว่าในการสอนอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับสภาพผู้เรียน อนึ่งหากว่าผลการประเมินผลก่อนเรียน
พบว่า ผู้เรียนมีพื้นฐานไม่พอเพียงที่จะเรียนในเรื่องที่จะสอน ก็จำเป็นต้องได้รับการสอนซ่อมเสริมให้
มีพื้นฐานที่พอเพียงเสียก่อนจึงจะเริ่มต้นสอนเนื้อหาในหน่วยการเรียนต่อไปได้ 
      3. เพื่อการวินิจฉัย ( Diagnosis )เป็นการใช้ผลการสอบเพื่อค้นหาจุดเด่น จุดด้อยของผู้เรียน
ว่ามีปัญหาในเรื่องอะไร เพื่อจะนำไปสู่การตัดสินใจแก้ไขปรับปรุงให้ตรงเป้า แบบทดสอบที่ใช้เพื่อการนี้ คือแบบสอบวินิจฉัยการเรียน ( Diagnostic Test ) การนำผลการสอบไปใช้ในการวินิจฉัยการเรียนนี้
มักใช้ในวัตถุประสงค์ 2 ประการดังนี้คือ
                   3.1 เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนหรือประเมินผลย่อย โดยการประเมินผลนี้ใช้ระหว่าง
มีการเรียนการสอน เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ หากว่าผู้เรียนไม่ผ่านจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนก็จะหาวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนนั้นมีความรู้ตามเกณฑ์ที่
ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังใช้ผลการประเมินเพื่อตรวจสอบตัวผู้สอน เช่น ผลจากการสอนเนื้อหาเรื่องหนึ่ง ปรากฏว่าผู้เรียนส่วนใหญ่ในกลุ่มมีผลสัมฤทธิ์ไม่ผ่าน จุดประสงค์ที่ตั้งไว้
ผู้สอนก็อาจจะตรวจสอบว่าการสอนของตนเองเป็นอย่างไร  การอธิบายชัดเจนหรือไม
่ เมื่อผู้สอนตรวจสอบดูแล้วหากพบข้อบกพร่องจุดใดก็แก้ไขตรงตามนั้น  

การประเมินผลระหว่างเรียนเป็นกิจกรรมที่สอดแทรกไปกับการเรียนการสอนตลอดเวลา
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาว่าผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนที่กำหนดไว้หรือเพียงใด หากพบว่ามีข้อ
บกพร่องในจุดประสงค์ใด ก็จะได้ใช้ข้อมูลนั้นๆ เป็นแนวในการปรับปรุง การเรียนของผู้เรียนเป็นราย
บุคคลหรือรายกลุ่ม และเป็นการพัฒนาวิธีการสอนของครูต่อไป 

             นอกจากผลการประเมินยังช่วยปรับปรุงการเรียนการสอนแล้ว หากว่าเนื้อหาบางตอนที่ผู้สอน
ได้พยายามปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างเต็มที่กับผู้เรียนหลายกลุ่มแล้ว ผลก็ยังเป็นอย่างเดิม คือ
ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ไม่ผ่านจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ แม้ผู้สอนจะได้พยายามปรับปรุงข้อบกพร่องตามประเด็น
แล้วก็ตาม แสดงว่าจุดประสงค์ที่ตั้งไว้อาจจะสูงเกินไปไม่เหมาะกับผู้เรียนหรือเนื้อหา อาจจะยากหรือ
ซับซ้อนเกินไป ที่จะบรรจุในหลักสูตรระดับนี้ ผลจากการประเมินผลจะเป็นประโยชน์สามารถใช้เป็น
ข้อมูลในการปรับปรุงหลักสูตรได้

การประเมินผลระหว่างเรียนเป็นกิจกรรมที่สอดแทรกไปกับการเรียนการสอนตลอดเวลา
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาว่าผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนที่กำหนดไว้หรือเพียงใด หากพบว่ามีข้อ
บกพร่องในจุดประสงค์ใด ก็จะได้ใช้ข้อมูลนั้นๆ เป็นแนวในการปรับปรุง การเรียนของผู้เรียนเป็นราย
บุคคลหรือรายกลุ่ม และเป็นการพัฒนาวิธีการสอนของครูต่อไป 

             นอกจากผลการประเมินยังช่วยปรับปรุงการเรียนการสอนแล้ว หากว่าเนื้อหาบางตอนที่ผู้สอน
ได้พยายามปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างเต็มที่กับผู้เรียนหลายกลุ่มแล้ว ผลก็ยังเป็นอย่างเดิม คือ
ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ไม่ผ่านจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ แม้ผู้สอนจะได้พยายามปรับปรุงข้อบกพร่องตามประเด็น
แล้วก็ตาม แสดงว่าจุดประสงค์ที่ตั้งไว้อาจจะสูงเกินไปไม่เหมาะกับผู้เรียนหรือเนื้อหา อาจจะยากหรือ
ซับซ้อนเกินไป ที่จะบรรจุในหลักสูตรระดับนี้ ผลจากการประเมินผลจะเป็นประโยชน์สามารถใช้เป็น
ข้อมูลในการปรับปรุงหลักสูตรได้ 


 การประเมินผลระหว่างเรียนเป็นกิจกรรมที่สอดแทรกไปกับการเรียนการสอนตลอดเวลา
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาว่าผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนที่กำหนดไว้หรือเพียงใด หากพบว่ามีข้อ
บกพร่องในจุดประสงค์ใด ก็จะได้ใช้ข้อมูลนั้นๆ เป็นแนวในการปรับปรุง การเรียนของผู้เรียนเป็นราย
บุคคลหรือรายกลุ่ม และเป็นการพัฒนาวิธีการสอนของครูต่อไป 

             นอกจากผลการประเมินยังช่วยปรับปรุงการเรียนการสอนแล้ว หากว่าเนื้อหาบางตอนที่ผู้สอน
ได้พยายามปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างเต็มที่กับผู้เรียนหลายกลุ่มแล้ว ผลก็ยังเป็นอย่างเดิม คือ
ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ไม่ผ่านจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ แม้ผู้สอนจะได้พยายามปรับปรุงข้อบกพร่องตามประเด็น
แล้วก็ตาม แสดงว่าจุดประสงค์ที่ตั้งไว้อาจจะสูงเกินไปไม่เหมาะกับผู้เรียนหรือเนื้อหา อาจจะยากหรือ
ซับซ้อนเกินไป ที่จะบรรจุในหลักสูตรระดับนี้ ผลจากการประเมินผลจะเป็นประโยชน์สามารถใช้เป็น
ข้อมูลในการปรับปรุงหลักสูตรได้ 

3.2 เพื่อตัดสินผลการเรียนการสอนหรือการประเมินผลรวม การประเมิน
ผลนี้ใช้หลังจากผู้เรียนได้เรียนไปแล้ว ช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือสิ้นสุดการเรียนบทหนึ่งหรือหลายบท
โดยผู้สอนต้องการทราบว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความรู้มากน้อยเพียงใด ผู้เรียน คนไหนเก่งหรือ
อ่อนในเรื่องใด ใช้ในการตัดสินผลการเรียนการสอน หรือตัดสินใจ ว่าผู้เรียนคนใด  
ควรจะได้รับระดับคะแนนใด และนอกจากนี้ยังใช้ในการพยากรณ์ผลสำเร็จในราย
วิชาต่อเนื่องต่อไปด้วย

           4. เพื่อการพยากรณ์ (Prediction) การวัดผลสามารถทำหน้าที่ทำนายหรือคาดคะเนความ
สำเร็จในภายภาคหน้าของผู้เรียนได้ โดยต้องทำการวิจัยให้ทราบก่อนว่าความสำเร็จที่ต้องการคาดคะเน
นั้น ประกอบด้วยความสามารถประเภทใด หรือความถนัดใดบ้าง โดยใช้แบบทดสอบวัดความถนัด แล้ว
นำผลที่ได้มาสร้างสมการพยากรณ์ หรือเปลี่ยนคะแนนสอบในแต่ละวิชามาสร้างเป็นกราฟ จะมองเห็น
ว่าผู้เรียนมีความสามารถในวิชาใดสูง วิชาที่ได้สูงนั้นจะสามารถพยากรณ์ความสามารถในอนาคต

           5. เพื่อการประเมินผล (Evaluation) เป็นการวัดเพื่อนำผลของการวัดมาสรุปว่า ผู้เรียนอยู่
ในระดับไหนของเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ในการประเมินผลจากการวัดผลการเรียนรู้ของนักเรียน เมื่อได้
เรียนจบแล้วว่า มีคุณภาพขนาดไหนบรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการขนาดไหน การประเมินผลในเรื่องนี้ ต้อง
ได้จากผลการวัดให้ครอบคลุมกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการประเมินทั้งหมด ซึ่งมีความหมายรวมไปถึงการ
ประเมินผลของหลักสูตรการสอน เป็นการประเมินว่าการจัดการเรียนการสอนได้บรรลุจุดมุ่งหมายของ
หลักสูตรมากน้อยเพียงใด การบริหารมีคุณภาพขนาดไหน ชวาล แพรัตกุล (2516 : 23 -28) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการวัดผลทางการศึกษาทั้ง 5
ประการ มีความต่อเนื่องกันเป็นลำดับ คือ เริ่มต้นปีการศึกษามีนักเรียนที่เลื่อนชั้นขึ้นมาใหม่ ครูผู้สอน
อยากทราบว่า มีนักเรียนคนใดบ้างเก่งหรืออ่อน (วัดเพื่อจัดตำแหน่ง) และในระหว่างภาคเรียนก็ต้อง
การทราบว่าใครเก่งหรืออ่อนในวิชาที่สอนอย่างไร(วัดเพื่อวินิจฉัย)เพื่อจัดการสอนให้เหมาะสม เมื่อหมด
ภาคเรียนก็มีการทดสอบเพื่อจะดูว่าเด็กนักเรียนคนใดเรียนดีขึ้นหรือลดลงเพียงใด (วัดเพื่อเปรียบ
เทียบ) และก็ต้องการทราบว่าต่อไป ในอนาคตนักเรียนคนใดควรเรียนต่อหรือไม่ และควรจะเรียนอะไร
จึงจะดี (วัดเพื่อพยากรณ์) จนในที่สุดก็ต้องการทราบว่า นักเรียนโรงเรียน จังหวัดของเรา เด่นหรือด้อย
กว่าโรงเรียนอื่นหรือจังหวัดอื่นเพียงใด (วัดเพื่อประเมินค่า) เป็นต้น ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่าจะวัดอย่างไรจึง
จะดี และวัดโดยวิธีใดจึงจะเป็นการวัดที่ถูกต้องและสมบูรณที่สุด เพื่อนำผลการวัดไปใช้ตามจุดมุ่งหมาย
ทั้ง 5 ประการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  •                         


สัปดาห์ที่ 1

             วัน / เดือน / ปี
                      สาระ
                 ภาระงาน





17 .60
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา
คลิก

 Power point
คลิก


ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา
คลิก

 Power point
คลิก



การวัดและประเมินผล 
คลิก

 Power point
คลิก



สัปดาห์ที่ 2

วัน / เดือน / ปี
สาระ
ภาระงาน


24 .60
ความหมายของคำว่า  การทดสอบ การวัด และการประเมิน
Power point
คลิก
 เครื่องมือหรือเทคนิคที่ใช้ในการวัดผลการศึกษา


 Power point
คลิก


การวางแผนเพื่อการวัดสัมฤทธ์ผลทางการเรียน
คลิก



 Power point
คลิก



สัปดาห์ที่ 3


วัน / เดือน / ปี
สาระ
ภาระงาน

 31 .60
การวัดและประเมินผล
Power point
คลิก

 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน


Power point
คลิก
การสร้างและการใช้ข้อสอบแบบความเรียง



Power point
คลิก

สัปดาห์ที่ 4

วัน / เดือน / ปี
สาระ
ภาระงาน

7  ส.60
วิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมด้านต่างๆ
คลิก

Power point
คลิก
รูปแบบของข้อสอบแบบเลือกตอบ

 Power point


การสร้างและการใช้ข้อสอบแบบเติมคำ


Power point
คลิก


สัปดาห์ที่ 5

วัน / เดือน / ปี
สาระ
ภาระงาน

 21 ส.60
 ลักษณะของเทคนิค เครื่องมือที่ดี
คลิก
Power point
คลิก

การหาคุณภาพของเครื่องมือวัดผล

Power point
คลิก
การสร้างละการใช้ข้อสอบแบบจับคู่
คลิก

Power point
คลิก

สัปดาห์ที่ 6

วัน / เดือน / ปี
สาระ
ภาระงาน

28 ส.60


Power point
สถิติเบื้องต้นสำหรับการวัดและประเมินผล
คลิก


Power point
คลิก
การสร้างละการใช้ ข้อสอบแบบจับคู่

Power point
คลิก





หลักการวัดและประเมินผล เดี่ยว

นางสาวอมรพรรณ  แพงเพ็ง   รหัส 5841120038 คลิก